<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

การอัปเกรด Shanghai ช่วยให้ Ethereum ตรวจจับอาชญากรง่ายขึ้นได้อย่างไร ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากการอัปเดต The Merge เมื่อเดือนพฤศจิกายน Ethereum ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นบล็อกเชนที่ใช้ระบบ Proof-of-Stake กลไกการยืนยันธุรกรรมจำเป็นต้องใช้ผู้ตรวจสอบที่ทำการ Stake เหรียญ Ethereum และในที่สุดการอัปเกรด Shanghai ในเดือนมีนาคม ก็เปิดระบบให้ผู้ที่ Stake เหรียญ Ethereum ในระบบสามารถถอนเหรียญที่ถูกล็อกเอาไว้ออกมาได้

ปัจจุบันมีช่องทางที่ผู้ใช้งานใช้ในการทำเงินจาก Ethereum หลายทาง ซึ่งสามารถแบ่งตาม “รูปแบบของการลงทุน” ของระบบนิเวศของ Ethereum ได้เป็น DeFi, Stablecoin, Bitcoin และ NFT ซึ่งหลังการอัปเกรด Shanghai เครือข่ายก็เริ่มให้บริการสินทรัพย์ตราสารหนี้เป็นเต็มรูปแบบ

อัตราผลตอบแทนที่ไม่มีความเสี่ยงจากการลงทุน (Risk-free Rate)

ผลตอบแทน เป็นหนึ่งในเสาหลักของการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของผลตอบแทน จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการรับรู้ความเสี่ยงต่อสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ด้วย การเคลื่อนไหวของอัตรามาตรฐานที่จัดทำขึ้นโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของนักลงทุนเป็นส่วนใหญ่

ผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน จึงใช้แนวโน้มของ อัตราผลตอบแทนที่ไม่มีความเสี่ยงจากการลงทุน (Risk-free rate) ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเงินทุนในตลาดเงิน เนื่องจากกระแสเงินดังกล่าว อาจเกิดจากการฟอกเงิน โดยเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวที่ผิดปกตินี้ คือ ผู้ฟอกเงินไม่ได้มีการแสวงหาผลตอบแทนทางการเงินเหมือนอย่างนักลงทุนทั่วไป แต่จุดประสงค์หลักของการฟอกเงิน คือ การทำให้เส้นทางการเงินมีความสับสน

การที่ผลของตอบแทนจากการ Stake ของ Ethereum มีลักษณะเป็น “อัตราผลตอบแทนที่ไม่มีความเสี่ยงจากการลงทุน” ในระบบนิเวศ Crypto การอัปเกรด Shanghai จึงช่วยให้การตรวจสอบเส้นทางการเงินบนโลก Crypto ทำได้ง่ายขึ้น

การตรวจสอบเส้นทางการเงินของ TradFi มุ่งที่กิจกรรม การตรวจสอบเส้นทางการเงินของ Crypto มุ่งที่ตัวตนต่าง ๆ

ความเสี่ยงในการก่ออาชญากรรมในระบบ TradFi มุ่งใช้ระบบอัตโนมัติในการแจ้งเตือนสถาบันต่าง ๆ ถึง การใช้สินทรัพย์ทางการเงินอย่างผิดกฎหมาย ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลทำการออกแบบและใช้งานโมเดลที่จะทำการแจ้งเตือนเมื่อพบธุรกรรมที่มีความน่าสงสัย และทีมสอบสวนจะทำการประเมินว่า จำเป็นต้องออกรายงานการกระทำต้องสงสัย (SARs) หรือไม่

ความแตกต่างระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ TradFi และ Crypto คือ การสืบสวนของ Crypto มุ่งเน้นไปที่ตัวอาชญากรมากกว่ากิจกรรมของเหล่าอาชญากร โดยนักสืบ On-chain จะวิเคราะห์เครือข่ายของกระเป๋าเงิน Crypto เพื่อระบุการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ของอาชญากรนั้น

การฟอกเงินมีทั้งหมด 3 ขั้นตอน ได้แก่

  • การวางตำแหน่ง : เป็นขั้นตอนที่อาชญากรเข้ามาสู่ระบบการเงิน
  • การแบ่งเลเยอร์ : อาชญากรจะเคลื่อนไหวเงินทุนอย่างซับซ้อนเพื่อปิดบังเส้นทางการตรวจสอบ และตัดความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมเดิม
  • การบูรณาการ : อาชญากรสามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบถูกกฎหมายอย่างสมบูรณ์ และสามารถใช้เงินที่ฟอกมาในการทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ

สำหรับสินทรัพย์ Crypto การออกแบบโซลูชันในการตรวจจับการเข้ามาของสินทรัพย์ผิดกฎหมายเป็นสิ่งที่มีความสะดวกมากกว่า เนื่องจากเงินที่ถูกฟอกส่วนใหญ่มาจากอาชญากรที่มีความเกี่ยวข้องกับ Crypto เช่น การโจมตีโดย Ransomware, การแฮ็กบริดจ์ของ DeFi, การโจมตี Smart contract และการ Phishing ซึ่งการกระทำสิ่งเหล่านี้ กระเป๋าเงินของผู้ลงมือจะต้องอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน ซึ่งเมื่อการก่ออาชญากรรมเกิดขึ้นแล้ว กระเป๋าเงินที่เกี่ยวข้องจะถูกตรวจสอบเพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของเงินทุน

ต่างจากธนาคารที่การตรวจจับอาชญากรที่เข้ามาในระบบของธนาคารทำได้ยาก ทำให้โซลูชันป้องกันการฟอกเงิน (AML) ถูกออกแบบให้ตรวจจับความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของเงินทุน

อาชญากรรมทางการเงินกับ DeFi

ตลาดการเงินแบบดั้งเดิมมักถูกใช้ในการเคลื่อนย้ายเงินทุนแบบลับ ๆ ในการหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรและให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย ในขณะที่ระบบนิเวศ DeFi สามารถเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ก้อนใหญ่ข้ามเขตอำนาจศาลต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายบล็อกเชนได้ ทำให้ DeFi มีความน่าดึงดูดในสายตาของผู้ที่ต้องการก่ออาชญากรรมทางการเงิน

นอกจากนี้ การที่กระดานเทรดรวมศูนย์ต่าง ๆ มีข้อปฏิบัติที่ดีขึ้น ยังทำให้อาชญากรต้องมองหาเส้นทางทางการเงินอื่นในการฟอกเงิน

อาชญากรจึงหันมาใช้ระบบการเงินแบบ DeFi มากขึ้น ทำให้ทีมสืบสวนทางการเงินจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบการไหลเวียนของเงินทุนที่มีความซับซ้อนผ่านโปรโตคอลที่หลากหลาย แม้ว่าจะไม่รู้ถึงที่มีของสินทรัพย์ของอาชญากรก็ตาม

ความพยายามในการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ จึงอาจจำเป็นต้องเน้นไปที่การแบ่งชั้นมากขึ้น ความก้าวหน้าในการทำงานร่วมกันของบล็อกเชนและการเฝ้าระวังอย่างเป็นระบบ จึงมีความสำคัญต่อการตรวจจับการเคลื่อนย้ายเงินทุนของอาชญากร

ความสามารถในการตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยในโลก Crypto ยังคงห่างไกลจากอุดมคติ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคว้าผันผวนของราคา Crypto ทำให้ความเสี่ยงภัยที่คงที่ (Static Risk) ไม่มีประสิทธิภาพมากพอและไม่สามารถตรวจจับการฟอกเงินได้ ซึ่งหาก Ethereum สามารถกำหนดอัตรามาตรฐาน สิ่งนี้จะเป็นการสร้างเหตุผลพื้นฐานในการระบุความผิดปกติของกระแสเงินทุนได้


ที่มา: Cointelegraph