หลังจากการล่มสลายของ FTX ทำให้เหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้เป็นการย้ำเตือนถึงความเร่งด่วนในการแสดงจุดยืนด้านความโปร่งใสของงเว็บเทรด crypto ทั่วโลก
และล่าสุดทางด้าน Chanpeng “CZ” Zhao ได้ออกมากล่าวว่า Binance กำลังทำงานเกี่ยวกับการปรับใช้โปรโตคอล Proof-of-Reserves ตัวใหม่ที่ถูกพัฒนาโดย Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum
ซึ่งวิธีหนึ่งที่เว็บเทรดจะใช้เพื่อทำให้นักลงทุนมองเห็นทางออกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ การใช้กลไก cryptographic-based reserves สำหรับกระบวนการทางบัญชี
อย่างที่รู้กันว่าโปรโตคอล Proof-of-Reserves มีมานานหลายปีแล้ว และมีการใช้อัลกอริธึมอยู่บน Merkle Tree เพื่อรวมข้อมูลจำนวนมากเข้าในแฮชเดียวเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของชุดข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่ง CZ ได้ให้คำมั่นที่จะแสดงจุดยืนในเรื่องของ “ความโปร่งใสอย่างเต็มที่” ผ่าน Merkle Trees โดย Binance ได้เรียกร้องให้บริษัทเทรด crypto อื่น ๆ ทั่วโลกหันมาใช้บรรทัดฐานเดียวกันใช้
อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้อาจใช้เวลาประมาณช่วงหนึ่ง และถึงแม้ว่า Binance จะทำการปล่อยตัวเลข Snapshot ของที่อยู่กระเป๋าเงินทั้งแบบ Hot และ Cold Wallet ไปในวันที่ 10 พฤศจิกายน แต่ดูเหมือนว่า Binance กำลังมองหาวิธีอื่นในการนำความโปร่งใสมาสู่กองเงินทุนสำรองของพวกเขาเพิ่มเติมอีก
“โดยปกติแล้ว เราจำเป็นต้องมีผู้ตรวจสอบบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่น่าเสียดายที่ผู้ตรวจสอบบัญชีอันดับหนึ่งของเราค่อนข้างยุ่ง เนื่องจากพวกเขากำลังตรวจสอบบัญชีสำรองของ FTX” Binance CEO กล่าวระหว่างพูดคุยใน Twitter Spaces AMA ในวันนี้
‘หนูทดลอง’ สำหรับโปรโตคอลใหม่
ในช่วงบ่ายของวันนี้ CZ ได้มีการพูดคุยกับ Vitalik โดยมีจุดมุ่งหมายที่ว่า “ต้องการสร้างโปรโตคอล Proof-of-Reserves ตัวใหม่และ Binance จะเป็นหนูทดลองในกรณีทดสอบครั้งแรก”
“เขาค่อนข้างตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเรากำลังรวมทีมของเราเพื่อทำเช่นนั้น” Zhao กล่าว “โดยคร่าวๆ เราคาดหวังว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และนี่คือเหตุผลที่เราเผยแพร่ที่อยู่กระเป๋าเงิน Cold Wallet ทั้งหมดของเราให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้โดยตรง”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าโปรโตคอลอันใหม่นี้จะแตกต่างจากโซลูชันเดิมที่มีอยู่แล้วอย่างไร
CEO ของ Binance ยังกล่าวอีกว่า “โปรโตคอลใหม่นี้มันอาจจะไม่ดีเท่ากับ Merkle Tree แต่อย่างน้อยเราก็สามารถพูดได้ว่า ‘ดูสิ เรามีเงินทุนอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่’ และสิ่งใดก็ตามที่ทำให้มีความโปร่งใสมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ดี”
ที่มา : decrypt