<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สุดแสบ! มิจฉาชีพใช้ deepfake ปลอมเป็น ‘บอส’ หลอกพนักงานโอนเงินให้มูลค่ากว่า 90 ล้านบาท

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

พนักงานรายหนึ่งได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมออนไลน์กับประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทร่วมกับพนักงานท่านอื่นๆ แต่การประชุมออนไลน์ดังกล่าวกลับเป็นแค่เรื่องโกหก?  มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราไปดูกัน

ทุกวันนี้อาชญากรรมทางโลกไซเบอร์นั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อาชญากรได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับหลอกลวงหรือสร้างความปั่นป่วนให้ผู้คนอยู่เสมอ หนึ่งในนั้นคือการใช้เทคโนโลยี deepfake ในการหลอกลวงพนักงานบริษัทข้ามชาติรายหนึ่ง จนส่งผลให้เขาต้องสูญเสียเงินไปมากถึง 90 ล้านบาท โดยวิธีที่อาชญากรใช้ก็คือ การแอบอ้างเป็นผู้บริหารบริษัทแล้วส่งจดหมายเชิญให้พนักงานเข้าร่วมการประชุมออนไลน์

Baron Chan เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้แถลงการณ์กับสื่อฮ่องกงว่า เมื่อเดือนที่แล้วมีพนักงานท่านหนึ่งได้รับข้อความจากประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทให้เขาเข้าร่วมประชุมออนไลน์ เรื่องเกี่ยวกับการทำธุรกกรรมที่เป็นความลับของบริษัท ซึ่งคนร้ายได้ใช้เทคโนโลยี deepfake ในการแอบอ้างเป็นผู้บริหารเพื่อโน้มน้าวใจให้พนักงานโอนเงินทุนของบริษัทมูลค่าเกือบ 90 ล้านบาท เข้าสู่บัญชีทั้งหมด 5 รายการ

พนักงานรายนี้เล่าว่า เขาเชื่อสนิทใจว่าเขากำลังคุยกับผู้บริหารตัวจริง เนื่องจากอาชญากรได้ทำการบันทึกภาพวิดีโอของผู้บริหารไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นอาชญากรก็ใช้ AI ในการเพิ่มเสียงปลอมเป็นผู้บริหารเพื่อใช้สำหรับพูดคุยผ่านวิดีโอ ซึ่งภาพในวิดีโอรวมถึงเสียงดังกล่าวเหมือนคนจริง ๆ แบบไม่น่าเชื่อ  พนักงานรายนี้เพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอก หลังจากที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทนำเรื่องนี้เข้าไปปรึกษาสำนักงานตำรวจ Baron Chan กล่าวว่าเคสนี้เป็นคดีแรกของฮ่องกงที่มีการใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี เขาจึงขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังหากมีใครส่งคำเชิญให้เข้าร่วมประชุมออนไลน์ในลักษณะที่ผิดวิสัย

ที่ผ่านมาการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ถือว่าเป็นพันธกิจหลักของตำรวจฮ่องกง ที่จะมีหน้าที่เฝ้าระวังให้ประชาชนปลอดภัยจากอาชญากรทางอินเตอร์เน็ต รวมถึงให้ประชาชนเตรียมพร้อมสำหรับรับความท้าทายในยุคดิจิทัลในอนาคต เมื่อไม่นานมานี้หัวข้อเทคโนโลยี deepfake ยังได้รับความสนใจจากสภานิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เนื่องจากมีอาชญากรใช้เทคโนโลยีนี้ในการปลอมแปลงภาพถ่ายของ Taylor Swift อย่างกว้างขว้าง ทำให้สหรัฐอเมริกาค่อนข้างให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นพิเศษ
ที่มา: cointelegraph