<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ธนาคารกลางของหลายประเทศวางแผนนำสกุลเงินคริปโตมาใช้แทนเงินสดเร็วๆนี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เราสามารถเริ่มจะพบเห็นได้แล้วว่าธนาคารกลางในหลายประเทศได้มีการออกสกุลเงินดิจิทัลเป็นของตัวเองหรือที่เรียกว่า central bank digital currency (CBDC) โดยจะดำเนินการบนเครือข่าย Blockchain อีกทั้งยังสามารถนำไปแลกเป็นสกุลเงินของประเทศอื่น ๆ ได้เช่น สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคริปโตรูเบิ้ล เป็นต้น โดยที่ประชุมของสภาเศรษฐกิจโลก [World Economic Forum (WEF)] ได้มีการจัดทำรายงานว่าด้วยการดำเนินการโดยธนาคารพาณิชย์เกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain  ซึ่งกำลังเกิดเขึ้นในปัจจุบันนี้

เหล่าประเทศแคนนาดา, อังกฤษ, สิงคโปร์, และฝรั่งเศษ นำร่องก่อนประเทศอื่นๆแล้ว

ธนาคารกลางในหลายประเทศได้มีการดำเนินการจัดทำรายงานและการทดสอบด้านเทคโนโลยี Blockchain เพื่อพิสูจน์ว่าจะสามารถนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้นำมาพัฒนาการดำเนินการของธนาคารได้อย่างไร อีกทั้งในรายงานของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ หรือ Bank of International Settlements (BIS) นักวิจัยสองคนคือ นาย Christian Barontini และนาย Henry Holden ผู้มีส่วนร่วมในงานวิจัยได้กล่าวในรายงานว่า

“ผลสำรวจจากธนาคารกลางหลายแห่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่นั้นกำลังร่วมกันพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดจากสกุลเงินดิจิทัลซึ่งออกโดยธนาคารอยู่ในขณะนี้”

ตัวอย่างจากกรณีข้างต้นก็มีให้เห็นมาแล้วเช่น ธนาคารกลางของประเทศอังกฤษซึ่งได้ดำเนินการจัดทำรายงานมาตั้งแต่ปี 2014 ในชื่อ “เศรษฐศาสตร์ของสกุลเงินดิจิทัล” หรือ “the economics of digital currencies,” โดยจากงานชิ้นนี้นักวิจัยชาวอังกฤษหลายท่านได้มีความคิดเห็นว่ารูปแบบของ incentive โมเดลในการสร้างแรงจูงใจให้มีการนำสกุลเงินดิจิทัลไปใช้ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ต่างหากที่เป็นตัวขัดขวางการนำไปใช้อย่างแพร่หลายที่แท้จริง

อีกทั้งในรายงานอีกฉบับโดยธนาคารกลางของประเทศอังกฤษนั้น ยังได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสกุลเงินดิจิทัลและระบบเงินสดแบบด้ังเดิม รวมทั้งการระบุข้อดีมากมายเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เราเห็นถึงความสนใจที่แน่วแน่ของสถาบันเหล่านี้ในตัวสกุลเงินคริปโตและเทคโนโลยี distributed ledger

ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 เหล่าธนาคารกลางในอังกฤษ แคนนาดา และสิงคโปร์ได้ร่วมกันจัดทำรายงานชิ้นใหญ่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ โดยได้มีการกล่าวถึงระบบในปัจจุบันว่า “ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศนั้นไม่เป็นไปในทางเดียวกับพัฒนาการที่ก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการชำระเงินซึ่งเกิดขึ้นภายในแต่ละประเทศ ทั้งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาระบบดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายสิบแล้วอีกด้วย”

ดังนั้นจึงได้เกิดโครงการต่างๆมากมายซึ่งมุ่งเป้าไปที่การดำเนินธุรกรรมระหว่างธนาคารข้ามประเทศ โดยเป็นการนำระบบ CBDC เข้ามาดำเนินการทดสอบ และได้มีการเปิดตัวการทดสอบในโครงการต่าง ๆ อย่างเช่น Linux Foundation’s Hyperledger Fabric, R3’s Corda, J.P. Morgan’s Quorum, และโครงการในเครือข่ายของ Ethereum เป็นต้น

นาง Ashley Lannquist ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าในแผนกเทคโนโลยี Blockchain ของที่ประชุมของสภาเศรษฐกิจโลกได้รวบรวมแหล่งข้อมูลของรายการงานวิจัยต่างๆไว้ในเอกสารนี้ รวมถึงโครงการ Project MADRE ของธนาคารกลางแห่งประเทศฝรั่งเศษ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2016 โดยทางธนาคารได้นำ solution ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain มาเป็นฐานพัฒนากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศที่ใช้ระยะเวลานานเกินควร

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น การเปลี่ยนแปลงระบบ SEPA Credit Identifiers (SCIs) ซึ่งเป็นระบบกลไลการออกเครดิตที่ถูกควบคุมโดยส่วนกลางเพื่อให้ประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปนั้นสามารถระบุบตัวตนผู้ออกเครดิตโดยไม่จำเป็นต้องติดต่ออ้างอิงกับบัญชีตั้งต้นนั้นๆก่อน โดยการนำ “ระบบทางเลือกที่ทำให้การบริหารจัดการออกเครดิต และการแลกปลี่ยนข้อมูลไม่ต้องอาศัยการควบคุมจากส่วนกลาง และสามารถดำเนินการโดยอัตโนมัติได้ โดยใช้ ‘smart contracts’  ซึ่งระบบใหม่นี้จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถดำเนินธุรกรรมได้อย่างคล่องตัว ผ่านการจัดทำชุดคำสั่งสำเร็จรูปบนระบบ Blockchain ”

10 กรณีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้งานในธนาคารกลางของแต่ละประเทศ

หลายประเทศทั่วโลกต่างดำเนินการทดสอบ CBDC และเทคโนโลยี Blockchain เพื่อพัฒนาระบบการธนาคารของตน อย่างเช่นการทดสอบระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในประเทศบราซิล (Project PIER), การนำระบบ CBDC มาใช้สำหรับการชำระเงินระหว่งธนาคารภายในประเทศแอฟริกาใต้ (Project Khokha), การวางแผนนำระบบ CBDC (e-krona) มาช่วยในการผลักดันประเทศสวีเดนให้เป็นสังคมไร้เงินสด และล่าสุดในประเทศไทยของเรานี้ ทางแบงก์ชาติก็ได้เผยผลการทดสอบโครงการอินทนนท์ ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินระหว่างประเทศได้อีกด้วย

นอกจากนี้ที่ประชุมของสภาเศรษฐกิจโลก[ World Economic Forum (WEF)] ยังได้ระบุถึงกรณีอื่นๆอีก 9 กรณีการใช้งานที่เหล่าธนาคารกลางนั้นสามารถที่จะนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้

  1. กรณีห่วงโซ่อุปทานของเงินสด

  2. กรณีบริการธุรกรรมต่างประเทศ

  3. กรณีกระบวนการ Know-your-customer (KYC) และการป้องกันการฟอกเงินหรือ anti-money-laundering (AML)

  4. กรณีสร้างความยืดหยุ่นและแก้ปัญหาความไม่แน่นอนของระบบการชำระเงิน

  5. กรณีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร

  6. กรณีการดำเนินการ SEPA Creditor Identifier (SCI) แก่ลูกค้า

  7. กรณีการขายปลีกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)

  8. กรณีการขายเหมาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)

  9. กรณีการดำเนินการชำระหนี้ระหว่างธนาคาร

เหล่ากรณีทั้งหลายนี้มีการทดสอบโดยบริษัทต่างๆให้เห็นได้แล้ว และด้วยเหตุผลนี้เองทาง WEF จึงกล่าวได้ว่าเหล่าธนาคารทั้งหลายกำลังจับตาดูการพัฒนาซึ่งเกิดขึ้นในวงการนี้อยู่ห่างๆด้วยความสนใจ โดยในรายงานของที่ประชุมของสภาเศรษฐกิจโลก ได้แบ่งระดับการดำเนินการออกเป็นสามแบบอย่างเช่น

  1. การดำเนินการโดยธนาคารของประเทศอังกฤษและฝรั่งเศษในการดำเนินการทดสอบหัวข้อดังกล่าวอย่างใกล้ชิดซึ่งเป็นระดับแรก

  2. การดำเนินการเฝ้าจับตาดูกิจกรรมโดยฝ่ายธุรกิจทั้งหลายซึ่งอยู่ในระดับสอง

  3. กลุ่มที่ยังไม่มีความสนใจในเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างแพร่หลาย

อย่างไรก็ตามเนื่องจากสกุลเงินคริปโตนั้นยังไม่เป็นที่แผร่หลายในสังคมทั่วไปมากนัก ประกอบกับโอกาสที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวันนั้นค่อนข้างน้อย ส่งผลให้เป็นการยากต่อประชาชนที่จะยอมรับเทคโนโลยีดังกล่าวในวงกว้าง อีกทั้งยังพิจารณาได้อีกว่า การนำ CBDC มาใช้นั้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในด้านลบต่อเสถียรภาพทางการดำเนินเนินธุรกิจธนาคารอีกด้วย

ซึ่งสิ่งที่จะเป็นตัวพิสูจน์ความสำเร็จของ CBDC ในระยะยาวได้นั้นก็คือเวลา เพราะเทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการปรับตัวที่นาน ดั่งเช่นอินเตอร์เนท และรถยนต์ที่เราเคยเห็นมาแล้วในอดีต บางทีการทำระบบให้ใช้งานง่าย อาจจะช่วยย่นระยะเวลาในการปรับตัวให้น้อยลงก็ได้

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น