นักวิจารณ์คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า แผนการขาย 2,900 BTC ของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นแทบจะเทียบไม่ได้เลยกับการเทขาย Bitcoin จาก Grayscale
ตามที่สยามบล็อกเชนได้รายงานไปในบทความที่แล้ว ว่าทางรัฐบาลฯ สหรัฐมีแผนที่จะนำ Bitcoin ที่ยึดได้จากเว็บมืดอย่าง Silk Road ออกมาประมูลขายทอดตลาด โดยแถลงการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมาจากการตัดสินสองพ่อลูก Farace ในข้อหาสมคบคิดในการฟอกเงิน
สมาชิกในชุมชนคริปโตหลายคนมีความกังวลว่า การนำ Bitcoin ที่ยึดได้มาประมูล,ขายทอดตลาด จะเป็นการดั๊มพ์ราคาของ Bitcoin ให้ร่วงลดลง
อย่างไรก็ตาม Steven Lubka กรรมการผู้จัดการของเว็บเทรด Swan Bitcoin กลับไม่คิดเช่นนั้น และกล่าวว่า นี่เป็นจำนวนขี้ประติ๋วมากถ้าเทียบกับปริมาณ และมูลค่าของ Bitcoin ที่ได้มีการไหลออกจาก Greyscale เมื่ออาทิตย์ก่อน ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากกว่า 106,575 BTC (มูลค่าประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์) หรือเกือบ 36 เท่าของปริมาณที่รัฐบาลสหรัฐฯจะนำมาปล่อยขาย โดยแค่ตัวเลขล่าสุดของวันที่ 24 มกราคมก็สูงถึง 10,871 BTC เข้าไปแล้ว
แผนการของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการเทขายครั้งนี้คิดเป็น 1.5% ของ Bitcoin ที่ยึดมาได้จากบรรดาอาชญากร ซึ่งรัฐบาลฯ ยังคงเก็บ Bitcoin ไว้อยู่ประมาณ 194,188 BTC (มูลค่ารวมราว 7.7 พันล้านดอลลาร์) อ้างอิงข้อมูลจากบริษัทคริปโต 21.co. พบว่าปริมาณที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถืออยู่ที่มีน้อยกว่า 1% ของอุปทานสูงสุดของ Bitcoin เสียอีก โดยแหล่งที่มาของ Bitcoin ที่ยึดได้จะถูกจำแนกดังนี้
- 94,643 BTC ยึดเมื่อเดือน มกราคม 2022 จากการแฮ็ก Bitfinex ในปี 2016
- 69,369 BTC ยึดเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2020 จากเว็บมืด Silk Road
- 51,326 BTC ยึดจากแฮ็กเกอร์ Silk Road นาม James Zhong
สำหรับการขายนั้น เดิมรัฐบาลใช้วิธีการประมูลเพื่อหาผู้ซื้อ ยกตัวอย่างเช่น Tim Draper นักลงทุนรายหนึ่งที่ทำการประมูลได้ Bitcoin ไปเกือบ 30,000 BTC แต่ล่าสุดรูปแบบได้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยที่บางครั้งรัฐบาลเลือกที่จะนำออกมาขายแทนที่การประมูล โดยครั้งสุดท้ายที่มีการขายทอดตลอดคือเดือนมีนาคม 2023 ที่มี Bitcoin ถูกซื้อไปจำนวน 9,118 BTC
ที่มา : Cointelegraph
ภาพ : The Cryptonomist
