ปี 2021 ถือเป็นปีที่ตลาดคริปโตเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Blockchain, Web3 และ NFT แต่หลังจากนั้นตลาดคริปโตก็ไม่ได้อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มอีกต่อไปเมื่อปี 2022 กลับกลายเป็นปีที่ตลาดคริปโตเกิดวิกฤตตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีส่งผลให้ราคา Bitcoin นั่นร่วงอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ดีด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่าในปีนี้ 2023 อาจเป็นปีที่สามารถที่จะขับเคลื่อนตลาดคริปโตให้กลับมาดีดั่งเดิมได้ ด้วย 5 ปัจจัยสำคัญดังนี้
Bitcoin Halving
อันที่เราทุกคนทราบกันดีว่า Bitcoin Halving คือ เหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งของชาว คริปโตเพราะเหตุการณ์นี้ส่งผลให้นักขุด Bitcoin ได้รับ Bitcoin Reward จากการขุดลดน้อยลงครึ่งหนึ่งในทุก 4 ปี จนกว่าเครือข่ายจะปล่อยเหรียญออกมาหมุนเวียนครบ 21 ล้านเหรียญ
และทุกครั้งที่เกิดการ Halving สิ่งนี้ก็จะทำให้ Bitcoin เกิดความขาดแคลนและส่งผลให้ราคาของเหรียญมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
“Halving จึงอาจกลายเป็นแรงกระตุ้นเชิงบวกหลักสำหรับ Bitcoin ซึ่งน่าจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มโลกเป็นขาขึ้น”
กรณีการใช้งานจริง
แน่นอนว่าในตลาดกระทิงที่ใกล้จะมาถึงนี้ นักลงทุนจะเริ่มมุ่งเน้นไปที่กรณีการใช้ Crypto และประโยชน์ของโปรโตคอลมากขึ้น แทนที่จะมองแค่ว่าตลาดคริปโตเป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่งในการเก็งกำไรเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
“ตลาดกระทิงที่ผ่านมาอาจมีอิทธิพลมาจากการเก็งกำไรที่เกินจริง แต่ผมเชื่อว่า ตลาดกระทิงในรอบนี้นักลงทุนเริ่มฉลาดมากขึ้นและมีวิจารณญาณมากขึ้น ในการตัดสินใจลงทุนของพวกเขา” Eric Chen ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งโปรโตคอลบล็อกเชน Injective กล่าว
“ในขณะที่ผู้คนเข้าสู่ตลาด crypto มากขึ้นและหันความสนใจเบนเข็มไปที่ cryptocurrencies มากขึ้น จะมีการมุ่งเน้นที่มูลค่าที่แท้จริงของโปรโตคอลมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนจะมองหาโปรโตคอลที่สามารถแก้ปัญหาได้ในโลกแห่งความเป็นจริงและมอบผลประโยชน์ที่จับต้องได้ให้กับผู้ใช้งาน” Chen กล่าวเสริม
ความไม่แน่นอนและเงินเฟ้อ
Bitcoin มีหลายช่วงเวลาที่ทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก และมูลค่าของ BTC ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 60% ในปี 2023
William Zielke ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของผู้ให้บริการการชำระเงิน BitPay กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อนั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้นักลงทุนพูดถึง crypto มากขึ้น
“ในระดับเศรษฐกิจมหภาค อัตราเงินเฟ้อยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด และด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งล่าสุด นักลงทุนยังคงมีความกังวลและระมัดระวังอยู่” Zielke อธิบาย “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bitcoin ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันอัตราเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของธนาคารที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาส่วนหนึ่ง เนื่องจากนักลงทุนที่ต้องการความคุ้มครอง…”
DePIN
เครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพแบบกระจายอำนาจ เพื่อมาช่วยจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ซึ่งอาจรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น โครงข่ายไฟฟ้าหรือระบบขนส่ง แทนที่จะมีหน่วยงานกลางเพียงแห่งเดียวที่รับผิดชอบ แต่ละอุปกรณ์หรือโหนดในเครือข่ายสามารถสื่อสารและแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกันโดยตรง ทำให้โครงสร้างพื้นฐานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีโอกาสล้มเหลวน้อยลง
Max Thake ผู้ร่วมก่อตั้ง blockchain network peaq กล่าวว่า “ในขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ เพิ่งเริ่มสำรวจความสามารถที่แท้จริงของมัน ผมก็เริ่มได้เห็นความสามารถของมันบ้างแล้ว”
“ศักยภาพในการพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ และทำให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริงแม้เพียงส่วนเล็กน้อยแต่สิ่งนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างมาก มีโครงการใหม่ ๆ ทยอยเปิดตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และผมคิดว่ามันเป็นการพัฒนาที่ดี เพราะในความคิดของผม ผมมองว่าสำหรับ DePIN โมเดลของพวกมันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการนำไปใช้จริง”
การสร้างระบบนิเวศที่มีความยั่งยืน
Markus Levin ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทข้อมูลเชิงพื้นที่ XYO เชื่อว่า อุตสาหกรรมคริปโตแห่งนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องพิสูจน์ หลังจากวิกฤตที่จางลง เพื่อทำให้ผู้คนก็เริ่มกลับมาเชื่อมั่นในภาคส่วนนี้อีกครั้ง
“ปี 2022 เละไม่เป็นท่า” Levin กล่าว “ดังนั้นสำหรับการ bull run ครั้งต่อไป เหล่านักลงทุนจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูที่แท้จริง, ความปลอดภัย และความยั่งยืน นอกเหนือไปจากสภาพแวดล้อมมหภาคที่เอื้ออำนวย”
“อุปสรรคใหญ่สองประการยังคงอยู่ นั่นคือการสร้างระบบนิเวศที่มีความยั่งยืนและการมอบความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี Blockchain อย่างถ่องแท้ เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถศึกษาเองได้อย่างง่าย ๆ
หากเราสามารถมุ่งเน้นไปที่ชื่อเสียงและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อฟื้นฟูศรัทธาของผู้คนในพื้นที่และดำเนินการกำจัดโครงการที่ไม่ดีออกไปได้ bull run ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
ที่มา : being crypto